มีคนถามผมเรื่อยๆ ว่า ควรใช้แฟลชแบบไหน โดยเฉพาะถ้าต้องการซื้อมาใช้จัดไฟถ่ายภาพอย่างที่ผมทำ ว่าต้องซื้อแฟลชราคาแพงๆ หรือเปล่า ต้องมีฟังก์ชั่นอะไรบ้างถึงจะพอ อะไรประมาณนี้
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เราจะเอาแฟลชไปใช้งานอะไรบ้าง ถ่ายทั่วไป ถ่ายงาน events ที่ต้องการความคล่องตัว หรือว่าต้องการเอามาจัดไฟโดยเฉพาะ
ถ้าเราต้องการแฟลชมาใช้ถ่ายงานที่ต้องการความรวดเร็วเช่น งาน events ที่งานจะดำเนินไปเรื่อยๆ เราก็ต้องใช้แฟลชที่ระบบ TTL ที่ใช้ได้เต็มระบบกับกล้องที่เราใช้ ซึ่ง TTL ของกล้องแต่ละค่ายก็มีระบบของตัวเอง Canon, Nikon, Sony ฯลฯ แต่ละค่ายไม่เหมือนกันสักค่าย
ดังนั้น ถ้าต้องถ่ายในสถานการณ์แบบนั้น ความคล่องตัวของระบบ TTL เป็นสิ่งที่ควรจะมีเป็นอย่างยิ่ง เพราะแฟลชจะคำนวนค่าความแรงที่แฟลชจะยิงแสงออกไปให้เรา ซึ่งก็จะช่วยให้เราทำงานได้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
ไม่มีใครมานั่งรอให้เราปรับค่าแสงให้พอเหมาะก่อนแน่ๆ ครับ จะมาบอกว่า
“ท่านประธานครับ รอผมห้านาทีก่อนนะ ขอผมจัดไฟก่อนแล้วท่านค่อยเปิดแชมเปญนะครับ”
ไม่ก็
“อย่าเพิ่งยิงตัวประกันๆ ขอผมเข้าไปจัดแสงก่อนนะ เดี๋ยวรูปลงข่าวฆาตกรรมแล้วคุณจะดูไม่หล่อนะครับ”
อันนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน
แต่ถ้าเราจะถ่ายรูปสินค้า รูป portrait และการถ่ายรูปที่เรามีเวลาในการเตรียมตัว สำหรับผมแล้ว ผมจะใช้ระบบแฟลชแบบ M (Manual) ที่พอเราจัดไฟที่ความแรงเท่าไหร่แล้ว ไม่ว่าเราจะกดชัตเตอร์กีครั้งๆ ความแรงของแฟลชก็จะเท่ากันทุกครั้ง เราจะถ่ายจากตรงไหนก็ได้ ความสว่างในบริเวณที่เราต้องการก็จะสว่างเท่าเดิมเสมอ
ความแน่นอนเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับงานประเภทนี้ครับ
เอาละ พอเรารู้แล้วว่าแฟลชแบบที่เราต้องการต้องมีคุณสมบัติแบบไหน เรามาเข้าเรื่องการเลือกแฟลชกันเลย คำแนะนำของผมก็คือ
“ถ้าจะซื้อแฟลชตัวแรก (หรือตัวต่อๆ ไปด้วยถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ) อยากแนะนำให้ซื้อแบบล่าสุดของค่ายกล้องของเรา ให้มีระบบ TTL ที่ใช้กับกล้องของเราได้เต็มระบบ และที่สำคัญก็คือ ควรปรับจาก TTL ไปเป็นการปรับความแรงในโหมด M ได้ด้วย”
เพราะเราจะได้เอาแฟลชตัวนี้ไปใช้ถ่ายรูปได้ทั้งสองแบบที่ว่ามาข้างบน ถ้าเป็น Canon ผมว่า 580EX2 เหมาะที่สุด สำหรับ Nikon SB-900 ไม่ก็ SB-800 (ถ้ายังหาได้) เป็นทางเลือกที่เหมาะสมครับ ค่ายอื่นนอกจากนี้ผมไม่ค่อยสันทัด ถ้าใครเข้ามาเสริมได้จะขอบคุณมากครับ
แต่สำหรับแฟลชตัวที่สอง สาม สี่ ห้า เราจะซื้อแบบเดียวกับที่เราซื้อตัวแรกได้ก็เป็นเรื่องดี (แต่มันจะเปลืองเงินหน่อยนะครับ) แต่ถ้าตั้งใจจะเอามาจัดไฟซึ่งใช้แฟลชโหมด Manual เราก็อาจจะหาแฟลชที่ไม่ต้องมีระบบ TTL มาใช้ก็ได้
“ที่สำคัญทีสุดสำหรับการเลือกแฟลชเพื่อจัดไฟถ่ายก็คือ แฟลชตัวนั้นต้องปรับความแรงของแฟลชในโหมด M ได้ คือแทนที่จะยิงได้แค่แบบเต็มกำลัง แฟลชตัวนั้นต้องปรับลดความแรงเป็น 1/2, 1/4, 1/8 1/16 อะไรพวกนี้ได้ด้วย”
เพราะเราต้องการควบคุมความสว่างที่จะตกไปที่ subject ของเรา ถ้าไม่สามารถปรับความแรงได้นี่จะเป็นปัญหากับการทำงานมากพอสมควรเชียวครับ
อีกเรื่องที่ควรเอามาพิจารณาก็คือ แฟลชตัวนั้นควร (อย่างยิ่ง) ที่จะต้องมีช่อง PC sync สำหรับเสียบสายสั่งแฟลชได้ด้วย และควรจะมีระบบตาแมวที่พอแฟลชตัวอื่นยิงวาบ แฟลชตัวนี้ก็สามารถยิงตามได้ด้วยครับ
แฟลชพวกนี้มีเยอะแยะมาก แฟลชรุ่นเก่าๆ ที่มีคุณสมบัตินี้มีหลายรุ่น และไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อเดียวกับกล้องด้วยนะครับ ราคาก็ไม่แพง ส่วนใหญ่จะเป็นหลักพันทั้งนั้น
แฟลชที่แนะนำสำหรับการนี้ก็พวก SB-80DX, SB-26, Vivitar 285HV สามตัวนี้เป็นพิมพ์นิยมที่สุดครับ แต่เพราะว่ามันเป็นแฟลชที่เก่าแล้ว การหาซื้อก็ต้องซื้อมือสองเอา ทำให้เสี่ยงกับเรื่องอาจถูกย้อมแมวได้ ข้างนอกงี้ใหม่กิ๊กเชียว ข้างในอาจถูกผ่ามาแล้วก็ได้ ยกเว้น 285HV นะครับ ตัวนี้อาจจะยังพอหาซื้อของใหม่ได้อยู่
ถ้าอยากได้ของใหม่แล้วหาซื้อในเมืองไทยไม่ค่อยได้ ลองสั่งซื้อจากเมืองนอกทางเน็ตดูก็ได้ครับ
ที่น่าสนใจก็มี
LumoPro LP120 Manual Flash
Cactus KF36 Full Manual Adjustable Flash
เข้าไปดู specification ก่อนตัดสินใจนะครับ แฟลชพวกนี้ราคาไม่แพง แต่การสั่งเข้ามาก็ต้องลุ้นหน่อยว่าจะโดนภาษีหรือเปล่า ถ้าโดนจะโดนเท่าไหร ตรงนี้ผมตอบให้ไม่ได้ครับ
- ถ้าต้องการรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องแฟลช เขียนถามเอาไว้ใน comments นะครับ แล้วจะมาเขียนเพิ่มเติมคราวหน้าครับ
วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554
เช็ดเลนส์อย่างไรให้ใสปิ๊ง
อ่านเจอมาเลยเอามาลงไว้ที่นี่ เพื่อจะได้เปิดอ่านได้ง่ายๆ และเผื่อเป็นความรู้สำหรับคนที่มีกล้องถ่ายรูป
ต้องการอ่านเรื่องอื่นๆ ก็เข้าไปที่เว๊ปต้นฉบับได้
ข้อความทั้งหมดนี้ มาจากเว๊ป กล้องดิจิตอล ดอทคอม ขอขอบคุณผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เคยมีเพื่อนฝากกล้องคอมแพ็คไปส่งเคลม เพราะอาการโฟกัสไม่ได้ ถ่ายออกมาภาพมัวๆ เบลอๆ ทั้งๆที่ซื้อกล้องมาได้ไม่ถึง 2 เดือน ยังคิดในใจ ทำไมกล้องมันเสียง่ายขนาดนี้ แต่เมื่อกล้องมาถึงมือก็ถึงบ้างอ้อ กล้องที่ว่าเป็นกล้องคอมแพ็คตัวเล็กๆ บางๆ ที่มีหน้าเลนส์จิ๋วๆ อยู่ทีมุมซ้ายมือของกล้อง ที่สำคัญ ที่หน้าเลนส์เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือ ถ้าหากเป็นโจรแล้วทิ้งรอยนิ้วมือขนาดนี้ กองพิสูจน์หลักฐานคงตามตัวได้สบาย สรุปสุดท้าย เลยทำความสะอาดให้ กล้องก็ใช้ได้ โฟกัสเป๊ะๆ ภาพชัดเจนเหมือนเดิม เลยทำให้อยากเขียนคอลัมน์นี้ เพราะหวังว่าคงเป็นประโยชน์กับใครอีกหลายๆ คน ตั้งแต่คนใช้กล้องคอมแพ็คตัวเล็ก จนถึงกล้องตัวใหญ่ๆ เลนส์ตัวใหญ่ๆ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ แต่หากทำความสะอาดไม่ถูกวิธี อาจทำให้อุปกรณ์ราคาแพงเสียหาย วิธีการดูแลทำความสะอาดที่ถูกต้องไม่ยากเลยค่ะ
ขั้นตอนแรกเรามาเตรียมอุปกรณ์กันก่อน มีไม่กี่อย่างแต่สำคัญมากค่ะ (แนะนำให้ซื้อพร้อมกล้องเลย)
1. กระดาษเช็ดเลนส์ (ใช้ครั้งเดียวทิ้ง) หรือผ้าเช็ดเลนส์ไมโครไฟเบอร์ (อ่อนนุ่มสามารถซักได้)
2. น้ำยา เช็ดเลนส์ มีขายทั่วไปตามร้านกล้อง อาจมีหลายคนเข้าใจผิด นำน้ำยาเช็ดแว่นไปเช็ดเลนส์ ซึ่งอาจทำให้โค้ทที่เคลือบผิวเลนส์หลุด เพราะเป็นโค้ทคนละชนิดกันค่ะ
3. ลูกยางเป่าลม เวลาเลือกซื้อต้องทดลองบีบ ต้องถนัดมือ และลมแรงพอที่จะเป่าฝุ่นที่ติดอยู่ที่เลนส์ได้
หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว เรามาเริ่มทำความสะอาดเลนส์กันเลยดีกว่าค่ะ
สิ่งที่ควรจำไว้เสมอคือ ถ้าเลือกได้ เราควรใช้ลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นก่อน และเลือกวิธีการเช็ดหน้าเลนส์ หรือฟิวเตอร์ เป็นอันดับสุดท้าย เพราะการเช็ดแต่ละครั้งมีโอกาสทำให้โค้ทที่เคลือบผิวเลนส์ หรือฟิวเตอร์หลุดหรือเป็นรอย แต่ถ้าเป่ายังไงฝุ่นเจ้ากรรมก็ยังไม่ออก หรือมีจำพวกคราบน้ำมันคราบนิ้วมือก็จำเป็นต้องเช็ดแล้วค่ะ
ขั้นตอนของการเช็ดก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องทำอย่างเบามือ และระมัดระวังนิดหน่อยค่ะ
ก่อนอื่นใช้ลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นออกจนหมด
จากนั้นนำผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือกะดาษเช็ดเลนส์ มาหยดน้ำยาทำความสะอาดเลนส์
ข้อดีของกระดาษเช็ดเลนส์คือมั่นใจว่าสะอาดแน่นอน เพราะใช้ครั้งเดียวทิ้ง
แต่ข้อเสียคือกระดาษจะเนื้อหยาบกว่าผ้าไม่โครเเบอร์และสิ้นเปลืองมากกว่า เพราะผ้าเมื่อสกปรกสามารถนำไปซักและนำกลับมาเช็ดได้อีกครั้ง แต่ก็มีข้อควรระวังคือเราต้องมั่นใจจริงๆ ว่าผ้าสะอาดไม่มีฝุ่นติด ไม่เช่นนั้นฝุ่นอาจจะไปขูดที่ผิวหน้าเลนส์ได้ค่ะ
หยดน้ำยาเช็ดเลนส์ไปที่ผ้าเช็ดเลนส์หรือกระดาษ จัดการเช็ด(อย่ากดแรงเดี๋ยวเป็นรอย) เริ่ม จากจุดตรงกลาง วนเป็นก้นหอยออกข้างนอกค่ะ ไม่ต้องตกใจถ้ายังมีคราบน้ำยาหรือคราบน้ำมันหลงเหลืออยู่ เพราะคงไม่หมดไปในครั้งแรก เราทำซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีเดิมคือเช็ดเป็นก้นหอยเริ่มจากตรงกลางค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนมุมผ้า หรือกระดาษ เพราะฝุ่นที่เราเช็ดติดออกไปเมื่อครั้งแรก อาจจะขูดหน้าเลนส์ได้ค่ะ เช็ดไปจนกว่าจะใสปิ้งค่ะ แต่ให้คิดไว้เสมอว่า ยิ่งเช็ดน้อยเท่าไร ความเสี่ยงที่ทำให้เลนส์เป็นรอยยิ่งน้อยลงเท่านั้นค่ะ
ข้อควรระวัง อีกนิด คืออย่าเช็ดโดยไม่มีน้ำยาเช็ดเลนส์นะคะ อาจถึงกับต้องเปลี่ยนกล้องใหม่เลนส์ใหม่ เพราะโค้ทหลุด มีกรณีตัวอย่างมาแล้วค่ะ
หลังจากเช็ดแล้วอาจจะมีฝุ่นหลงเหลืออยู่นิดหน่อย จัดการนำลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นออกก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ
เห็นมั้ยคะไม่ยากเลย ใช้ได้กับทั้งเลนส์กล้องใหญ่ๆ ไปจนถึงกล้องคอมแพ็คค่ะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะคะ
ต้องการอ่านเรื่องอื่นๆ ก็เข้าไปที่เว๊ปต้นฉบับได้
ข้อความทั้งหมดนี้ มาจากเว๊ป กล้องดิจิตอล ดอทคอม ขอขอบคุณผู้เขียนไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เคยมีเพื่อนฝากกล้องคอมแพ็คไปส่งเคลม เพราะอาการโฟกัสไม่ได้ ถ่ายออกมาภาพมัวๆ เบลอๆ ทั้งๆที่ซื้อกล้องมาได้ไม่ถึง 2 เดือน ยังคิดในใจ ทำไมกล้องมันเสียง่ายขนาดนี้ แต่เมื่อกล้องมาถึงมือก็ถึงบ้างอ้อ กล้องที่ว่าเป็นกล้องคอมแพ็คตัวเล็กๆ บางๆ ที่มีหน้าเลนส์จิ๋วๆ อยู่ทีมุมซ้ายมือของกล้อง ที่สำคัญ ที่หน้าเลนส์เต็มไปด้วยรอยนิ้วมือ ถ้าหากเป็นโจรแล้วทิ้งรอยนิ้วมือขนาดนี้ กองพิสูจน์หลักฐานคงตามตัวได้สบาย สรุปสุดท้าย เลยทำความสะอาดให้ กล้องก็ใช้ได้ โฟกัสเป๊ะๆ ภาพชัดเจนเหมือนเดิม เลยทำให้อยากเขียนคอลัมน์นี้ เพราะหวังว่าคงเป็นประโยชน์กับใครอีกหลายๆ คน ตั้งแต่คนใช้กล้องคอมแพ็คตัวเล็ก จนถึงกล้องตัวใหญ่ๆ เลนส์ตัวใหญ่ๆ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ แต่หากทำความสะอาดไม่ถูกวิธี อาจทำให้อุปกรณ์ราคาแพงเสียหาย วิธีการดูแลทำความสะอาดที่ถูกต้องไม่ยากเลยค่ะ
ขั้นตอนแรกเรามาเตรียมอุปกรณ์กันก่อน มีไม่กี่อย่างแต่สำคัญมากค่ะ (แนะนำให้ซื้อพร้อมกล้องเลย)
1. กระดาษเช็ดเลนส์ (ใช้ครั้งเดียวทิ้ง) หรือผ้าเช็ดเลนส์ไมโครไฟเบอร์ (อ่อนนุ่มสามารถซักได้)
2. น้ำยา เช็ดเลนส์ มีขายทั่วไปตามร้านกล้อง อาจมีหลายคนเข้าใจผิด นำน้ำยาเช็ดแว่นไปเช็ดเลนส์ ซึ่งอาจทำให้โค้ทที่เคลือบผิวเลนส์หลุด เพราะเป็นโค้ทคนละชนิดกันค่ะ
3. ลูกยางเป่าลม เวลาเลือกซื้อต้องทดลองบีบ ต้องถนัดมือ และลมแรงพอที่จะเป่าฝุ่นที่ติดอยู่ที่เลนส์ได้
หลังจากเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว เรามาเริ่มทำความสะอาดเลนส์กันเลยดีกว่าค่ะ
สิ่งที่ควรจำไว้เสมอคือ ถ้าเลือกได้ เราควรใช้ลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นก่อน และเลือกวิธีการเช็ดหน้าเลนส์ หรือฟิวเตอร์ เป็นอันดับสุดท้าย เพราะการเช็ดแต่ละครั้งมีโอกาสทำให้โค้ทที่เคลือบผิวเลนส์ หรือฟิวเตอร์หลุดหรือเป็นรอย แต่ถ้าเป่ายังไงฝุ่นเจ้ากรรมก็ยังไม่ออก หรือมีจำพวกคราบน้ำมันคราบนิ้วมือก็จำเป็นต้องเช็ดแล้วค่ะ
ขั้นตอนของการเช็ดก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องทำอย่างเบามือ และระมัดระวังนิดหน่อยค่ะ
ก่อนอื่นใช้ลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นออกจนหมด
จากนั้นนำผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือกะดาษเช็ดเลนส์ มาหยดน้ำยาทำความสะอาดเลนส์
ข้อดีของกระดาษเช็ดเลนส์คือมั่นใจว่าสะอาดแน่นอน เพราะใช้ครั้งเดียวทิ้ง
แต่ข้อเสียคือกระดาษจะเนื้อหยาบกว่าผ้าไม่โครเเบอร์และสิ้นเปลืองมากกว่า เพราะผ้าเมื่อสกปรกสามารถนำไปซักและนำกลับมาเช็ดได้อีกครั้ง แต่ก็มีข้อควรระวังคือเราต้องมั่นใจจริงๆ ว่าผ้าสะอาดไม่มีฝุ่นติด ไม่เช่นนั้นฝุ่นอาจจะไปขูดที่ผิวหน้าเลนส์ได้ค่ะ
หยดน้ำยาเช็ดเลนส์ไปที่ผ้าเช็ดเลนส์หรือกระดาษ จัดการเช็ด(อย่ากดแรงเดี๋ยวเป็นรอย) เริ่ม จากจุดตรงกลาง วนเป็นก้นหอยออกข้างนอกค่ะ ไม่ต้องตกใจถ้ายังมีคราบน้ำยาหรือคราบน้ำมันหลงเหลืออยู่ เพราะคงไม่หมดไปในครั้งแรก เราทำซ้ำอีกครั้งด้วยวิธีเดิมคือเช็ดเป็นก้นหอยเริ่มจากตรงกลางค่ะ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเปลี่ยนมุมผ้า หรือกระดาษ เพราะฝุ่นที่เราเช็ดติดออกไปเมื่อครั้งแรก อาจจะขูดหน้าเลนส์ได้ค่ะ เช็ดไปจนกว่าจะใสปิ้งค่ะ แต่ให้คิดไว้เสมอว่า ยิ่งเช็ดน้อยเท่าไร ความเสี่ยงที่ทำให้เลนส์เป็นรอยยิ่งน้อยลงเท่านั้นค่ะ
ข้อควรระวัง อีกนิด คืออย่าเช็ดโดยไม่มีน้ำยาเช็ดเลนส์นะคะ อาจถึงกับต้องเปลี่ยนกล้องใหม่เลนส์ใหม่ เพราะโค้ทหลุด มีกรณีตัวอย่างมาแล้วค่ะ
หลังจากเช็ดแล้วอาจจะมีฝุ่นหลงเหลืออยู่นิดหน่อย จัดการนำลูกยางเป่าลมเป่าฝุ่นออกก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ
เห็นมั้ยคะไม่ยากเลย ใช้ได้กับทั้งเลนส์กล้องใหญ่ๆ ไปจนถึงกล้องคอมแพ็คค่ะ หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะคะ
เทคนิคการเลือกซื้อฟิลเตอร์ UV

ฟิลเตอร์ UV ถือเป็นฟิลเตอร์ที่มีการใช้งานมากที่สุด ซึ่งคนส่วนใหญ่ เข้าใจว่า มีหน้าที่ไว้คอยปกป้องไม่ให้เลนส์เป็นรอย แต่จริงๆ แล้ว นั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ เพราะประโยชน์ที่แท้จริงของฟิลเตอร์ UV นั้น คือ ทำให้ภาพถ่ายมีสีสันใกล้เคียงกับที่ตาเห็นมากที่สุด (จะเห็นได้ชัดจากกล้องฟิล์ม) นอกจากนี้ การเลือกเกรดฟิลเตอร์ UV นั้นยังมีผลโดยตรงต่อภาพ หากเลือกไม่ดีจะบั่นทอนคุณภาพเลนส์ ส่งผลต่อคุณภาพภาพ สีผิดเพี้ยน เกิดแฟลร์ ซึ่งหากจะเปรียบเลนส์เป็นดวงตา ฟิลเตอร์ UV ก็เหมือนกัแว่นตา ซึ่งเลนส์แว่นตาก็มีหลายเกรด ถ้าดีหน่อยก็ย่อมจะใสปิ้งมองชัดเจน ถ้างบประมาณน้อยหน่อยก็อาจจะมัว เวียนหัวปวดตา การเลือกฟิลเตอร์ UV ที่ถูกต้องนั้น จึงต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของเลนส์และความเหมาะสม ซึ่งแน่นอน ฟิลเตอร์ UV แพงๆ มักจะทำให้การใช้เลนส์ให้มีคุณภาพสูงสุดที่เลนส์ทำได้ โดยไม่บั่นทอนภาพให้คุณภาพต่ำลง
แล้วต้องเลือกอย่างไรถึงจะเหมาะสม และเนื่องจากฟิลเตอร์ UV มีหลายเกรด ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับฟิวเตอร์ UV กันก่อน
มารู้จักฟิวเตอร์ UV กันก่อน
ฟิลเตอร์ UV เป็นฟิลเตอร์ที่มีความสามารถในการลดรังสีอุลตร้าไวโอเลต ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่ได้มีสีสันใกล้เคียงตาเห็นมากขึ้น เนื่องจากฟิลเตอร์ UV จะไปลดแสงสีฟ้า ที่เกิดจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตออกไป จะเห็นชัดในภาพที่ถ่ายจากฟิล์ม ดิจิตอลก็จะเห็นได้บ้าง ช่างภาพส่วนใหญ่จึงมักจะนิยมซื้อหามาติดหน้าเลนส์อยู่เสมอ และยังมีผลพลอยได้ในการปกป้องหน้าเลนส์ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนอีกด้วย
ฟิลเตอร์ UV ที่มีขายในบ้านเรามีหลากแบบ หลายราคา ตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงสามถึงสี่พันบาท ซึ่งคุณภาพชิ้นแก้ว และวัสดุที่ใช้ในการผลิต ย่อมแตกต่างกันไปตามราคา ซึ่งความแตกต่างของวัสดุตรงนี้ โดยเฉพาะชิ้นแก้ว จะส่งผลกระทบกับภาพที่ได้ แบบเห็นค่อนข้างชัดเจน อย่างเช่นการเกิดแฟลร์ในภาพ (จำนวนแฟลร์จะมากน้อยขึ้นกับแฟลร์พื้นฐานของเลนส์ด้วย) สีสันของภาพถูกลดทอนลง
โดยการวัดคุณภาพของฟิลเตอร์ UV นั้น จะวัดกันที่ความสามารถในการให้แสงผ่านเป็นหลัก ส่วนเรื่องความทนทานของกรอบฟิลเตอร์ หรือเกลียว ถือเป็นปัจจัยรองลงมา

แล้วจะเลือกซื้อฟิลเตอร์ UV อย่างไร
ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า ฟิลเตอร์ UV ที่ดีดูอย่างไร วิธีสังเกตง่ายๆ คือให้ดูจากแสงสะท้อน หากสะท้อนมากคุณภาพยิ่งไม่ดี และเนื่องจากราคาที่ถูก จึงจำเป็นต้องลดต้นทุนของกรอบฟิลเตอร์ลง ทำให้ใช้โลหะคุณภาพต่ำในการผลิต เวลาใช้งานจึงมีปัญหาปีนเกลียว เกลียวหวาน หรือปิดฝาไม่ได้
ถ้าจะแยกประเภทให้แห็นชัดเจน ฟิลเตอร์ UV ในเมืองไทย พอจะแยกประเภทได้คร่าวๆ ตามคุณภาพได้ดังนี้

ฟิลเตอร์ UV ประเภทแรก (คุณภาพต่ำสุด แสงสะท้อนมากสุด)
ฟิลเตอร์ราคาประหยัด (ส่วนใหญ่เป็นของแถม) ดูได้จากราคาในหลักร้อยบาท อย่างเช่น Hoya UV, Digitex, Marumi กล่องเหลือง, Kenko , Giottos type Aฯลฯ มักจะใช้ทรายอุตสาหกรรมในการผลิตแก้ว หรือเทียบง่ายๆ กับกระจกใสที่ติดตามบ้านทั่วไป ซึ่งถ้ามองตรงๆ จะพบว่ามีแสงเงาสะท้อนขาวๆ ยิ่งถ้าฟิลเตอร์ UV ยี่ห้อไหนมีแสงสะท้อนกลับมาก อาจทำให้ผู้ใช้งานพาลคิดว่า เลนส์ไม่ดี กล้องไม่ดี ต้องเสียเงินเปลี่ยนกล้องเปลี่ยนเลนส์กันเลยทีเดียว
ฟิลเตอร์ UV ประเภทที่สอง (คุณภาพดีปานกลาง)
ฟิลเตอร์ UV ระดับกลาง ราคาประหยัด เช่น Hoya UV HMC, Marumi กล่องแดง, Sigma DG UV , Giottos type S ที่กระจกฟิลเตอร์มีการเคลือบผิวพิเศษ หรือที่เรียกกันว่าโค๊ท (Coated) ซึ่งมีทั้งเคลือบมาก เคลือบน้อย ตามระดับราคาของฟิลเตอร์ ซึ่งโค๊ทจะช่วยเพิ่มความสามารถในการให้แสงผ่านของชิ้นแก้ว บางยี่ห้อก็สีฟ้า เขียว เหลือง แล้วแต่การออกแบบของผู้ผลิต และความสามารถในการให้แสงผ่านก็ต่างกันตามผู้ผลิตด้วย แต่ฟิวเตอร์ UV ชนิดนี้ก็มีข้อเสียการดูแลรักษาค่อนข้างลำบาก เนื่องจากการเคลือบชิ้นแก้วจะเหมือนมีฟิล์มแผ่นบางๆ ติดอยู่บนผิวของแก้ว ซึ่งถ้าทำความสะอาดไม่ดี หรือมีอะไรไปกระทบ โอกาสที่โค๊ทจะหลุดสูง ซึ่งถ้าหลุดไปแล้ว รูที่แหว่งนั้นจะทำให้เกิดความไม่เท่ากันของแสง ทำให้โอกาสเกิดแฟลร์เป็นจ้ำๆ สูงกว่าฟิลเตอร์ UV ราคาถูกเสียอีก
ฟิลเตอร์ UV ในระดับนี้อย่างดีจะเป็นพวก Canon Protected, Nikon NC, Sigma UV EX, Hoya UV Pro I, Marumi กล่องทอง, Kenko Pro 1 D โดย 2 ยี่ห้อแรกจะใช้วัสดุคุณภาพสูงกว่า 4 ยี่ห้อหลัง (จริงๆ แล้วฟิลเตอร์ของ Canon กับ Nikon ความใสของเนื้อกระจกดีเท่ากับ B+W กับ Rodenstock ด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าใช้งานมาซัก 5 ปี ความใสกระจกเริ่มเปลี่ยน เลยจัดมาอยู่ตรงนี้แทน และทั้ง 2 ตัวก็ไม่จัดว่าเป็น UV แต่ได้ผลลัพธ์ออกมาใกล้เคียงกัน ส่วนถ้าใครใช้ยี่ห้อ Hoya UV Pro I หรือคล้ายๆ แบบนี้แนะนำว่าเวลาเช็ดให้ระวังมากๆ เพราะถ้าโค๊ทหลุดก็คงต้องเสียเงินเปลี่ยนฟิลเตอร์ใหม่กันเลย
ฟิลเตอร์ UV ประเภทที่สาม (คุณภาพดี)
ฟิลเตอร์เยอรมัน แบบไม่โค้ท จัดเป็นฟิลเตอร์ระดับกลางอีกแบบ ฟิลเตอร์ประเภทนี้ใช้วัสดุในการผลิตคุณภาพสูง แต่ไม่มีการเคลือบผิวเลนส์ หรือเคลือบน้อยชั้น เนื่องจากชิ้นแก้ว เป็นชิ้นแก้วที่ผลิตจากทรายสำหรับทำเลนส์โดยเฉพาะ ซึ่งมีค่าความใสสูงกว่ากระจกแบบธรรมดาทั่วไป ความสามารถในการให้แสงผ่านเท่ากันกับฟิลเตอร์ UV ประเภทที่สอง แต่การดูแลรักษาง่ายกว่าเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องโค๊ทมากนัก (อายุการใช้งาน 10 ปีขึ้นไป) กรอบฟิลเตอร์ UV ชนิดนี้ ทำจากเหล็กกล้าหรือทองเหลืองอย่างดี จะราคาสูงกว่าฟิลเตอร์ UV ประเภทที่สองนิดหน่อย เช่น B+W (Schneider) UV (ไม่มีโค๊ท แต่เนื้อแก้วใสมาก), กับ Rodenstock UV Coated (โค๊ทออกสีน้ำเงินฟ้า) ฟิลเตอร์ UV ประเภทนี้ความทนทานสูง ใช้งานได้ประมาณ 10 ปีสบายๆ ไม่มีปีนเกลียว แต่ระวังขันแน่นเกินไป ถ้าขันแน่นมากๆ จะเข้าไปเกาะจนขันแทบไม่ออก ตอนใช้ฟิลเตอร์ UV พวกนี้แรกๆ นึกในใจว่าซื้อมาแพงยังจะปีนเกลียวอีก ที่ไหนได้ พอใจเย็นๆ ค่อยๆ ขันก็ออกมาได้โดยไม่เสียรูปและเกลียวยังสมบูรณ์
ฟิลเตอร์ UV ประเภทที่ สี่ ฟิลเตอร์ไฮโซ
ฟิลเตอร์ UV แบบนี้ดีที่สุด โดยการนำฟิลเตอร์ประเภทที่สาม มาเคลือบโค๊ทเพื่อเพิ่มความสามารถในการให้แสงผ่านได้สูงที่สุด ราคาสูงที่สุด ความสามารถในการให้แสงผ่านเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ฟิลเตอร์ชนิดนี้ ถ้าใส่ไปที่หน้าเลนส์แล้ว มองตรงเข้าไปจะต้องมองไม่เห็นกระจกฟิลเตอร์เลย หรือเห็นน้อยมาก ทำให้รีดความสามารถของเลนส์ได้สูงที่สุด เท่าที่เคยเห็นในตลาดบ้านเรามี B+W UV MRC, Rodenstock UV MRC ครับ (สีของโค๊ทขึ้นกับขนาดหน้ากว้างฟิลเตอร์ หน้า 77 มม. จะเป็นน้ำเงินม่วง แต่ถ้าเป็น 52 มม. จะเป็นสีเหลืองอมเขียว) หากมองตรงๆ จะแทบมองไม่เห็นเนื้อกระจก

หลังจากทราบประเภทและเกรดของฟิลเตอร์ UV ไปแล้ว ทีนี้เราก็สามารถเลือกฟิลเตอร์ UV ที่เหมาะสมสำหรับเลนส์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เกณฑ์ราคาฟิลเตอร์ UV ที่เหมาะสม จะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 1 ใน 10 ของราคาเลนส์ แต่ถ้าตั้งใจจะใช้เป็นการถาวร หรือใช้งานนานๆ งบประมาณไม่จำกัด ก็สามารถซื้อแบบดีที่สุดไปเลยก็ได้ เพราะมันจะมีผลกับภาพที่เราจะถ่ายต่อไปในอนาคต ฟิลเตอร์ญี่ปุ่นกับเยอรมันสังเกตง่ายๆ โดยฟิลเตอร์ญี่ปุ่นเน้นราคาถูก ขายง่าย เปลี่ยนบ่อยๆ ส่วนฟิลเตอร์เยอรมันจะเน้นคุณภาพสูง ขายแพง แต่ใช้นาน ดังนั้นจะเลือกฟิวเตอร์แบบไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม จะ ซื้อฟิลเตอร์ UV เยอรมัน โค๊ทผิวดีสุดๆใสสุดๆ ไปใส่กับเลนส์คิท ที่ราคาเกือบเท่ากับฟิลเตอร์ อย่างนั้นสู้ไม่ใส่ฟิลเตอร์ พอพังก็ซื้อเลนส์ใหม่ยังดีกว่า หรือซื้อเลนส์เกรดดีๆ ตัวละหลายหมื่น มาใส่ฟิวเตอร์ UV อันละไม่กี่ร้อยบาท ภาพที่ออกมาแทนที่จะดีเท่าราคาเลนส์ที่จ่ายไป กลับถูกทอนคุณภาพด้วยฟิลเตอร์ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เสียของเปล่าๆ ค่ะ*
สรุป เทคนิคการเลือกซื้อฟิลเตอร์ UV
1. ราคาฟิลเตอร์ UV ต้องเหมาะสมกับราคาเลนส์ (ประมาณ 1 ใน 10 ของราคาเลนส์ )
2. ฟิลเตอร์เยอรมัน อายุการใช้งานทนทานกว่าฟิลเตอร์ญี่ปุ่น 2 เท่า ( 10 ปี UP)
3. คิดเสมอว่า การใส่ฟิลเตอร์ UV ก็เหมือนการประกอบเลนส์อีกชิ้น ดังนั้นฟิลเตอร์ UV มีผลต่อภาพ แต่ถ้าหากอยากได้ภาพที่รีดคุณภาพของเลนส์มากที่สุด แนะนำให้ถอดฟิลเตอร์
4. หากคิดจะซื้อราคา 100-200 มาใส่ แนะนำว่า ไม่ใส่จะดีกว่า
5. ถ้าคุณมีเงินเหลือเฟือ หรือหากินกับการถ่ายภาพ แนะนำให้ซื้อดีที่สุด รับประกันว่าง่ายต่อการทำงาน และคุ้มค่าเรื่องอายุการใช้งานค่ะ
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำ ตอนที่ 2
ในยุคที่กล้องดิจิตอลครองเมือง กล้องฟิล์มเลยมีบทบาทน้อยลง เนื่องจากความสะดวกสบายในการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล และทดแทนได้แทบทุกอย่าง ถึงแม้ว่าจะให้โทนสี และรายละเอียดยังไม่ดีเท่ากล้องฟิล์มก็ตาม การถ่ายภาพขาวดำก็เช่นกัน กล้องดิจิตอลก็นิยมมาปรับสีภาพให้เป็นโทนเทาดำ ก็ได้อารมณ์คล้าย ๆ กับภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำ แต่ภาพที่ถ่ายด้วยฟิล์มขาวดำและผ่านกระบวนการล้างอัด ยังคงให้อารมณ์ที่ดีกว่า ใครที่เคยล้าง-อัดภาพในห้องมืดคงจะนึกถึงความน่าตื่นเต้นในตอนที่นำกระดาษ อัดภาพไปแช่ในน้ำยาล้างกระดาษ ภาพจะค่อยๆ ปรากฏมาให้เห็น เป็นความรู้สึกที่ประทับใจไม่มีวันลืม แม้ว่าภาพแรกที่ล้าง จะไม่ได้เรื่องเลยก็ตามที
การที่จะถ่ายภาพขาวดำด้วยฟิล์มขาวดำ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยาก และไม่อยากทำความเข้าใจกับมัน แต่จริง ๆ แล้วการถ่ายภาพขาวดำนั้นง่ายกว่าการถ่ายภาพด้วยฟิล์มสไลด์สีเสียอีก เพราะภาพขาวดำนั้น ในภาพจะมีแต่สีเทาดำ เท่านั้น ฟิล์มสไลด์สีจะมีเรื่องความเข้มของสีมาเกี่ยวข้องอีกมาก
ขั้นตอนการถ่ายภาพขาวดำนั้นจะมีขั้นตอนหลัก ๆ อยู่เพียง 3 ขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนจะสืบเนื่องกัน หากสามารถควบคุมได้ครบ 3 ขั้นตอน ก็จะสามารถควบคุมงานถ่ายภาพขาวดำได้อย่างมีคุณภาพ ขั้นตอนที่ว่าจะประกอบด้วย
1. ขั้นตอนการถ่ายภาพ
2. ขั้นตอนการล้างฟิล์ม
3. ขั้นตอนการอัดขยายภาพ
-----------------------------------------
1. ขั้นตอนการถ่ายภาพและการเลือกฟิล์ม
ฟิล์มขาวดำแท้ ๆ หรือมักจะลงท้ายว่า PAN และต้องล้างด้วยน้ำยา D76 หรือตัวอื่น ๆ ที่ฟิล์มจะระบุ มีฟิล์มให้เลือกหลากหลายค่าความไวแสง ตั้งแต่ 25-25000 และยังสามารถ Push-Pull ได้อีกฟิล์มบางตัวจะมีค่าความยืดหยุ่นมากสามารถตั้งค่าความไวแสงได้มากกว่า 6400 แต่ต้องล้างด้วยน้ำยาสูตรที่ฟิล์มระบุมา ฟิล์มขาวดำอย่าง Foma pan หรือ Fote' เป็นฟิล์มที่เหมาะกับการฝึกหัดถ่ายภาพขาวดำ ที่ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่เปิดสอนการถ่ายภาพเบื้องต้นจะบังคับให้ใช้ มีหลายคนบอกว่าคุณภาพมันไม่ดี แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นฟิล์มที่ใช้ได้ดีทีเดียว เพียงแต่หลายคนที่กล่าวว่าไม่ดี อาจจะเป็นเพราะการล้างฟิล์มอย่างผิดวิธีนั่นเอง ฟิล์มอีกตัวที่จะหาง่ายและนิยมใช้กันแต่มีราคาสูงสักหน่อย คือ Kodak T-MAX 100 เป็นฟิล์มที่เหล่ามืออาชีพใช้กัน เนื่องจากให้โทนสีเทาดำที่ดีแล้ว เกรนยังละเอียดมาก เรียกได้ว่าถ้าลองแล้วจะติดใจ หากงบไม่มาก ก็แนะนำให้ซื้อฟิล์มโหลด มาใช้ก็ได้เป็นการประหยัดแบบหนึ่ง หากไม่ซีเรียสเรื่องคุณภาพมากนัก
การถ่ายภาพขาวดำ เนื่องจากฟิล์มขาวดำจัดเป็นฟิล์มเนกาทีฟ ซึ่งมีค่าความยืดหยุ่นมาก ดังนั้นการที่ถ่ายติดโอเวอร์ มากกว่าปกตินิดหน่อยจะให้ผลที่ดีกว่าการถ่ายภาพติดอันเดอร์ หรือถ้าหากวัดแสงแม่น ๆ และมีความชำนาญในทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี การถ่ายภาพที่พอดี จะสามารถควบคุมโทนภาพได้
โทนของภาพที่ปรากฏในฟิล์มจะมี 10 โทน โทนที่ 5 หรือ V คือ โทนสีเทากลาง 18 % ดังนั้นขั้นตอนการฝึกควบคุมโทนในการถ่ายภาพ มักจะหากระดาษสีเทากลางมาเป็นตัวทดสอบ โดยการถ่ายภาพ อันเดอร์ – พอดี – โอเวอร์ ประมาณ -3 ถึง +3 แล้วนำฟิล์มที่ถ่ายได้มาล้างในน้ำยาล้างฟิล์มเพื่อหาค่าเวลาที่ถูกต้อง และก็ทำวิธีนี้อีกด้วยการ เพิ่ม-ลดเวลา ในการล้างอัด เพื่อเป็นการหาการ Push – Pull ของฟิล์มรุ่นที่เราถ่ายอยู่ เพื่อเก็บเป็นข้อมูลในครั้งต่อไป ตามปกติในการวัดแสงนิยมใช้วัดแสงแบบเฉพาะจุด เพื่อวัดแสงจุดที่สว่างสุดและมืดสุด จะทำให้นึกภาพได้ว่าภาพนี้จะเป็นแบบใดเมื่อถ่ายภาพออกมาแล้ว
Kodak TP ISO 25 กล้อง F100 เลนส์ 105 MC วัดแสงเฉพาะจุด ส่วนขาวสุด +3 ฉากหลัง-2 |
2. ขั้นตอนการล้างฟิล์ม 
ไม่จำเป็นต้องมีห้องมืดก็สามารถล้างฟิล์มขาวดำเองได้ และมีอุปกรณ์ที่จำเป็นไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
อุปกรณ์สำหรับการล้างฟิล์มขาวดำ
1.ถุงมืด ใช้ในการโหลดฟิล์มเข้ารีล
2.แท็งก์ ล้างฟิล์ม จะประกอบด้วย รีล ตัวแท็งก์ ฝาปิดและที่หมุน
3.กรรไกร
4.บีกเกอร์ ไว้สำหรับผสมน้ำยาตามอัตราส่วน
5.ชุดน้ำยาล้างฟิล์ม
-น้ำยาล้างฟิล์ม( Develop ) เช่น D76
-น้ำยาคงสภาพ ( fixer )
6.ที่วัดอุณหภูมิน้ำยา
วิธีการล้างฟิล์ม
1.หลังจากเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็มาถึงการโหลด ฟิล์มเข้ารีล ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับมือใหม่หัดโหลดทุกคน หลายคนยอมสละฟิล์มเพื่อเอามาซ้อมโหลดกันข้างนอกก่อน หลังจากนั้นก็ปิดหาหัดโหลด ซึ่งจริง ๆ แล้วมันมีเทคนิคง่าย ๆ ไม่น่ายุ่งยากขนาดนั้น ทำตามวิธีนี้รับรองหัดโหลดสักสอง-สามครั้ง ก็สามารถโหลดฟิล์มในถุงมืดได้แล้ว
มีเทคนิคดังนี้
-ตัดหางฟิล์มให้เรียบร้อยก่อน
-ที่ตัวรีลจะมีเขี้ยวอยู่สองอัน จับให้ตรง หลังจากนั้น ดันฟิล์มเข้าไป และขยับรีลให้ดึงฟิล์มเข้าไปนิดหน่อย แล้วใช้นิ้วมือลองดึงตัวฟิล์มเบา ๆ ว่าฟิล์มเข้าไปในร่องของรีลดีหรือไม่ ขั้นตอนนี้ทำให้ที่สว่างได้ทั้งหมด เพราะว่าช่วงต้นฟิล์มเป็นส่วนที่ฟิล์มเสียตั้งแต่ตอนโหลฟิล์มเข้ากล้องแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร วิธีนี้ห้ามใช้กับฟิล์มอินฟาเรดเท่านั้น
รีลสามารถปรับขนาดฟิล์มได้ |
-นำรีล แท็งก์ และกรรไกรเข้าไปในถุงมืด หลังจากนั้น สอดมือเข้าไปในถุงมืด ทำการโหลดฟิล์มต่อโดยใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสอง ล็อคที่ตัวฟิล์ม ส่วนนิ้วอื่นจับรีล พร้อมขยับดึงเนื้อฟิล์มต่อไปจนรู้สึกตึง ๆ จึงใช้กรรไกรตัดที่โคนฟิล์ม แล้วขยับดึงเนื้อฟิล์มเข้าไปอีกสักสองสามที หลังจากนั้นนำรีลบรรจุเข้าแท็งก์ล้างปิดฝาให้เรียบร้อย นำออกมาจากถุงมืดได้
น้ำยาหยุดภาพ สามารถใช้ได้ตลอดอายุการใช้งาน ของมัน ประโยชน์ของมันจะช่วยหยุดการสร้างภาพได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยยืดอายุน้ำยาคงสภาพซึ่งจะสามารถใช้ได้อีกในครั้งต่อไป
วิธีการล้างฟิล์ม
- เมื่อเตรียมน้ำยาครบหมดแล้ว และอุณหภูมิควบคุมให้ได้ 20 องศา ให้เทน้ำเปล่าลงไปในแท็งก์ที่บรรจุฟิล์ม ก่อนเพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิภายในแท็งก์ และให้เนื้อฟิล์มเปียกชุ่ม แช่ประมาณ 30-60 วินาที หลังจากนั้นเทน้ำเปล่าออก
- หลังจากนั้นเทน้ำยาสร้างภาพ ( D76 ) ลงไปในแท็งก์ และปิดฝา แล้วกระแทกกับพื้นโต๊ะเบา ๆ สัก 2-3 ครั้ง เพื่อไล่ฟองอากาศ เริ่มจับเวลา และเขย่าแท็งก์อย่างสม่ำเสมอด้วยวิธีตะแคงซ้าย-ขวา ประมาณ 5 วินาที หลังจากนั้นทุก 15 วินาที เขย่าให้ได้ 12 ครั้ง ทำแบบนี้ 2 รอบ (30 วินาที) หลังจากนั้น ให้เขย่า 12 ครั้ง ทุก 30 วินาที เขย่า 5 ครั้ง จนครบเวลาล้างภาพ ควรเทน้ำยาก่อนหมดเวลาประมาณ 10 วินาที (ระยะเวลาล้างสามารถดูได้ที่ข้างกล่องฟิล์ม) อุณหภูมิของน้ำยาจะมีผลต่อระยะเวลาในการล้างและคุณภาพของเกรนภาพด้วย โดยที่อุณหภูมิน้ำยาที่สูง จะสามารถล้างภาพในระยะเวลาที่สั้นลง แต่เกรนภาพจะมากขึ้น ในทางกลับกัน อุณหภูมิน้ำยาที่เย็นจะใช้ระยะเวลานานขึ้น และอัตราการเขย่าแท๊งก์ก็มีผลต่อฟิล์มเช่นกัน เช่น หากเขย่ามากเกินไป ฟิล์มจะหนา หรือ เขย่าน้อยไปฟิล์มจะบาง ดังนั้นต้องควบคุมอัตราการเขย่าให้ดี
-จากนั้นใส่น้ำยาหยุดภาพ เขย่าต่อจนครบ 30 วินาที แล้วเทน้ำยาหยุดภาพออก
-เทน้ำยาคงสภาพ ลงไป ปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที แล้วเทน้ำยาใส่ขวด สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก
-นำแท็งก์เปิดฝา ตอนนี้โดนแสงได้แล้ว เปิดน้ำให้ไหลผ่านแท็งก์ ประมาณ 15 นาที จากนั้นนำฟิล์มที่ได้ออกมาจากรีล นำมารีดน้ำออก แล้วแขวนตากไว้จนฟิล์มแห้ง หากมีตู้อบฟิล์มจะดีมาก ให้ระวังอย่าตากจนแห้งจัด จะทำให้ฟิล์มเสียได้ แต่ถ้าไม่มีก็ตากในที่ไม่มีฝุ่น และไม่ควรนำไดร์เป่าผมมาเป่าฟิล์ม เพราะจะทำให้เกิดคราบน้ำและฟิล์มงอตัวได้
- เมื่อฟิล์มแห้งแล้วนำมาตัดใส่ซองฟิล์ม
เพียงเท่านี้ก็ได้ฟิล์มขาวดำมาแล้ว สามารถนำไปให้แล็บอัดภาพอัด ในกระดาษอัดภาพสี สามารถเลือกโทนสีได้ หรือหากมีโอกาสอัดภาพขาวดำแท้ ๆ ในห้องมืดก็ได้เช่นกัน
3. ขั้นตอนการอัดขยายภาพ
เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ห้องมืด หัวอัดขยายภาพ และเลนส์ที่ใช้อัดขยาย น้ำยาล้างกระดาษ และกระดาษที่เลือกมาอัดขยายภาพ ล้วนมีผลต่อความคมชัดและโทนสีภาพทั้งหมด น้ำยาล้างกระดาษบางสูตรเป็นน้ำยาที่สามารถถ่ายทอดโทนภาพได้สุดยอด แต่ก็มีอายุสั้นมาก คือ สามารถอัดได้เพียงไม่กี่ภาพก็ต้องทิ้งน้ำยานั้นไปแล้ว น้ำยาที่อัดขยายภาพขาวดำจะคล้าย ๆ กับฟิล์ม เพียงแต่ตัวน้ำยาสร้างภาพจะเป็นคนละตัวกัน ส่วนน้ำยาหยุดภาพกับน้ำยาคงสภาพสามารถใช้ร่วมกันได้เพียงแต่อัตราส่วนผสมจะ ไม่เท่ากันเท่านั้น
ขั้นตอนการหาค่าเวลาอัดขยายภาพ
ปกติตาม มหาวิทยาลัยจะสอนให้นำภาพที่ต้องการอัดมาหาค่าเวลาการฉายแสง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดี แต่จะยุ่งยากหากต้องอัดภาพหลายภาพ บางคนจะแนะนำให้เพิ่มเวลาฉายแสงและลดเวลาในน้ำยาสร้างภาพเอา ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะกระดาษอัดภาพต้องอาศัยเวลาในการสร้างภาพ หากรีบเอาภาพขึ้นจากน้ำยาเร็ว ผลที่ได้คือภาพจะเลือน หรือเสียไป วิธีที่อยากแนะนำคือให้นำต้นฟิล์มที่ไม่มีภาพ หรือประมาณต้นฟิล์ม มาทดสอบหาค่าเวลาที่ถูกต้อง แต่วิธีนี้ต้องวัดแสงถูกต้องและควบคุมวิธีการล้างฟิล์มอย่างละเอียดเสียก่อน บริเวณฟิล์มที่ใส คือบริเวณที่ดำที่สุดของภาพ ดังนั้นการหาค่าทดสอบนี้จะดีที่สุดสำหรับการอัดภาพขนาดเท่ากับจำนวนหลาย ๆ ใบและจะเป็นค่าที่ให้โทนครบมากที่สุด และมั่นใจเลยว่า อัดภาพออกมาแล้วคงไม่มืดดำ ให้นำฟิล์มมาใส่หัวอัด ปรับภาพให้ชัดเสียก่อนแล้วปรับรูรับแสงไปที่ F.8 ที่บริเวณเลนส์อัดภาพ จากนั้นนำฟิล์ม ให้เป็นส่วน ฟิล์มครึ่งหนึ่ง ของเฟรมนั้น อีกส่วนจะเป็นส่วนของแสงไม่มีฟิล์มมาบัง จากนั้นให้ตั้งเวลา 5 วินาที ปิดไฟเครื่องแล้วนำกระดาษอัดมาวางไว้ที่บริเวณที่จะฉายแสงอัดขยายภาพ นำกระดาษแข็งมาบังแสงเป็นทุก ๆ 5 วินาที จะเลื่อนกระดาษขึ้นไป ซึ่งเป็นวิธีที่เหมือนกับการหาค่าเวลาอัดแสงทั่วไปที่สอนกันเพียงแต่เราไม่ ได้หาค่าแสงพอดีของภาพ แต่เรามาหาส่วนที่มืดที่สุดของเนื้อฟิล์มนั้น จากนั้นนำกระดาษที่อัดลงในน้ำยาสร้างภาพ โดยให้หน้าที่อัดคว่ำลงไปในน้ำยาก่อน หลังจากนั้นให้เขย่าถาดน้ำยาผ่านไปสัก 30 วินาทีจึงพลิกหน้ากระดาษขึ้นมาแช่ต่อจนครบ 1 นาที และนำไปลงน้ำยาหยุดภาพ และคงสภาพต่อไป ทุกขั้นตอนแช่จนครบเวลาที่น้ำยากำหนดมาให้ จากนั้นนำมาดู ระดับขั้นเทาดำที่ได้จากการทดสอบหาค่าความมืดสุด โดยที่ส่วนที่มืดที่สุดของฟิล์มจะสว่างกว่าส่วนที่ไม่ได้เป็นส่วนของเนื้อ ฟิล์มนิดหน่อย นำค่าที่ได้นี้มาตั้งค่าเวลาของเครื่องอัด หลังจากนั้น นำภาพที่ถ่ายทดสอบกับกระดาษสีเทากลางในตอนถ่ายทดสอบมาเป็นตัววัด โดยใช้ค่าเวลาที่หาได้ ค่าที่ได้อาจจะคลาดเคลื่อนบ้าง แต่ก็สามารถเพิ่ม-ลดเวลาที่ถูกต้องได้ง่าย และใกล้เคียงที่สุด เมื่อได้ค่าเวลาที่ถูกต้องก็สามารถอัดขยายภาพได้ง่าย บางครั้งควบคุมโทนของการอัดภาพขาวดำ ยังใช้วิธีการเผา และบังแสง แต่หากเข้าใจการวัดแสง เรื่องโทนของภาพมาดีแต่แรก ผ่านการล้างที่ดี วิธีการเหล่านี้ก็จะใช้น้อยลง ภาพขาวดำที่ได้ก็จะมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
มาเรื่องของกระดาษอัดภาพขาวดำ ที่ขยายในท้องตลาดจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ กระดาษแบบ fix grade โดยที่เกรดของกระดาษจะเหมือนกับค่าความไวแสงฟิล์มคือ ยิ่งมีตัวเลขสูงก็จะยิ่งไวแสงมากยิ่งขึ้น(ใช้เวลาฉายแสงน้อยลง) มีตั้งแต่ 0 – 5 และกระดาษอับแบบ multigrade ที่สามารถปรับค่าเกรดได้ด้วยการใส่ฟิลเตอร์ที่เลนส์หัวอัดขยายภาพ หากไม่ใส่ จะมีค่าความไวเท่ากับ เกรด 2 ของกระดาษธรรมดา
เอาวิธีการล้างฟิล์มขาวดำมาฝากครับ
หลังจากคุ้ยข้อมูล ประกอบ ฟื้นความจำสมัยเรียน จากหลายๆ ที่
รวมถึงที่นี่ด้วย
ตอนนี้ล้างไปหลายม้วนแล้ว อย่างสนุกสนานครับ
มีสมาชิกบางท่านได้ pm ไปถึงผม ถามเกี่ยวกับการล้างฟิล์ม
จึงพบว่า ข้อมูลเรื่องนี้ ค่อนข้างกระจัดกระจาย อาจเป็นเพราะโลกไปทาง Digital กันเยอะแล้ว
ผมจึงรวบรวมเป็นบันทึกไว้ที่ Blog สำหรับมือใหม่ หรือมือเก่า ที่รื้อฟื้นความจำในการล้างฟิล์มไว้ครับ
หากพอจะเป็นประโยชน์ ก็ขอยกให้ที่ต่างๆ ที่ผมไปรวบรวมข้อมูลมานะครับ
http://tum.in.th/Photography/index.html
ข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลในการล้างฟิล์มเบื้องต้น ใช้ผงสำเร็จรูป D-76 มาทำน้ำยาสต๊อก
ไม่ถึงกับการผสมสารเคมีแต่อย่างใดนะครับ
ผมยังไม่เก่งกาจขนาดนั้นครับ
ถ้าขั้นตอนไหนไม่ถูกต้อง หรือไม่ชัดเจน รบกวนแนะนำด้วยนะครับ
จะได้นำไปปรับปรุงครับ
ขอบคุณครับ
เทคนิค : สร้างกรอบภาพ
หนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่สร้างความน่าสนใจให้ภาพถ่าย จากภาพธรรมดา ในสถานที่ธรรมดา หรือในสถานที่ท็อปฮิต ที่มีแต่มุมมหาชนง่ายที่สุด คือการจัดองค์ประกอบภาพ เพื่อให้มีกรอบภาพอยู่ในภาพ นอกจากจะทำให้ภาพน่าสนใจ แปลกตาแล้ว ยังสร้างมิติ และลดช่องว่าง ไม่ให้ภาพดูหลวม ขาดเอกภาพ บีบสายตาของผู้ดูภาพ ให้สนใจจุดเด่นของภาพมากขึ้น
เทคนิคนี้นำไปใช้ได้ทั้งสมัครเล่น มือใหม่หัดถ่ายภาพ จะใช้กล้องคอมแพ็คตัวละ 3 พันบาท ไปจนถึงกล้องตัวละเป็นแสน คงไม่มีใครสงวนลิขสิทธิ์ เพียงผู้ถ่ายรู้จักสังเกต มีจินตนาการ ประยุกต์ใช้สิ่งรอบข้าง มาสร้างกรอบให้กับภาพ ไม่ว่าจะเป็นประตู หน้าต่าง ช่องวงกบ ฮู๊ดบังแสง ไปจนถึงนิ้วมือของเราเอง ก็แล้วแต่ไอเดีย และสิ่งรอบข้างที่มีในขณะนั้น
เมื่อได้ อุปกรณ์ หรือวัตถุ ที่จะมาสร้างกรอบภาพให้เราแล้ว สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อไป ที่สำคัญกับภาพของเราที่สุด นั่นคือ เรื่องราว และจุดเด่น ที่อยู่หลังกรอบภาพ ไม่ใช่ว่าใส่กรอบให้ภาพ สวยงามแล้ว แต่ถ่ายภาพออกมา ดูไม่ออกว่าผู้ถ่ายต้องการจะถ่าย หรือสื่อสารอะไร และจะให้สมบูรณ์ที่สุด คือการสื่อความหมายให้กลมกลืน ระหว่าง กรอบภาพ และจุดเด่นของภาพ เพียงเท่านี้ ภาพถ่ายก็จะไม่จำกัดแค่ความสวยงาม แต่กลับสื่อสารไปถึงผู้ชม ได้มากกว่าภาพสวยงามธรรมดา
ปัญหาที่พบ ในการถ่ายภาพแบบนี้ ส่วนใหญ่ คือเรื่อง การวัดแสง เพราะความแตกต่างแสงค่อนข้างมาก ระหว่าง ฉากหน้าและฉากหลัง หลักการง่ายๆ คือวัดแสงในจุดที่เราตั้งใจจะให้เป็นจุดเด่นให้พอดี ส่วนตรงกรอบภาพ อาจจะเป็นเงาดำ หรือหากอยากให้เห็นรายละเอียดในส่วนกรอบภาพด้วย อาจจะเปิดแฟลช หรือใช้โหมด HDR ซึ่งมีมาให้ในกล้อง Cyber-Shot และอัลฟ่ารุ่นใหม่ๆ ก็สามารถเปิดรายละเอียดส่วนเงาดำได้
เมื่อทำการวัดแสง ที่จุดสนใจแล้ว สิ่งต้องระวัง เรื่องจุดโฟกัส ใช้หลักการเดียวกับการวัดแสง คือโฟกัสในจุดที่เราจะเน้นนั่นเอง
หลังจากนี้ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหน อย่าลืมสนใจสิ่งรอบข้าง แล้วหยิบมาใส่ เป็นกรอบภาพให้ภาพถ่ายของเราดูน่าสนใจ แต่อาจจะเลอะเทอะหน่อย เพราะบางสถานที่ สิ่งที่เราจะมาจัดให้เป็นกรอบในภาพ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ต้องอาศัย วิชานินจา ทั้งล้มลุก กลิ้ง ปีน แต่ก็ควรคำนึงถึงกาลเทศะ อย่าสนใจแต่เพียงให้ได้ภาพที่สวยอย่างเดียว ต้องรักษากฎ ระเบียบ และเคารพในสถานที่นั้นๆ ด้วยค่ะ
ลองนำไปใช้กันดูนะคะ
เรื่อง / ภาพ ชนาภา วรรณพักตร์
เทคนิคนี้นำไปใช้ได้ทั้งสมัครเล่น มือใหม่หัดถ่ายภาพ จะใช้กล้องคอมแพ็คตัวละ 3 พันบาท ไปจนถึงกล้องตัวละเป็นแสน คงไม่มีใครสงวนลิขสิทธิ์ เพียงผู้ถ่ายรู้จักสังเกต มีจินตนาการ ประยุกต์ใช้สิ่งรอบข้าง มาสร้างกรอบให้กับภาพ ไม่ว่าจะเป็นประตู หน้าต่าง ช่องวงกบ ฮู๊ดบังแสง ไปจนถึงนิ้วมือของเราเอง ก็แล้วแต่ไอเดีย และสิ่งรอบข้างที่มีในขณะนั้น
เมื่อได้ อุปกรณ์ หรือวัตถุ ที่จะมาสร้างกรอบภาพให้เราแล้ว สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อไป ที่สำคัญกับภาพของเราที่สุด นั่นคือ เรื่องราว และจุดเด่น ที่อยู่หลังกรอบภาพ ไม่ใช่ว่าใส่กรอบให้ภาพ สวยงามแล้ว แต่ถ่ายภาพออกมา ดูไม่ออกว่าผู้ถ่ายต้องการจะถ่าย หรือสื่อสารอะไร และจะให้สมบูรณ์ที่สุด คือการสื่อความหมายให้กลมกลืน ระหว่าง กรอบภาพ และจุดเด่นของภาพ เพียงเท่านี้ ภาพถ่ายก็จะไม่จำกัดแค่ความสวยงาม แต่กลับสื่อสารไปถึงผู้ชม ได้มากกว่าภาพสวยงามธรรมดา
ภาพนี้ถ่ายที่ปราสาทหินพิมาย จุดเด่นอยู่ที่ปราสาทองค์ประธาน สร้างกรอบภาพโดยหน้าต่างของปราสาทโดยรอบ ที่มีซากปรักหักพังของเศษหินทรายแดง
ข้อคิดเล็กๆ เรื่องจัดองค์ประกอบภาพนั้น อย่าไปยึดติดว่าจุดเด่นจะต้องอยู่ตรงกลาง เพียงแต่ให้เกิดความสมดุลในภาพ และกรอบภาพอย่ากินพื้นที่มาก จนบดบัง จุดเด่นของภาพก็เพียงพอ ส่วนเรื่องอื่นก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนแล้วค่ะปัญหาที่พบ ในการถ่ายภาพแบบนี้ ส่วนใหญ่ คือเรื่อง การวัดแสง เพราะความแตกต่างแสงค่อนข้างมาก ระหว่าง ฉากหน้าและฉากหลัง หลักการง่ายๆ คือวัดแสงในจุดที่เราตั้งใจจะให้เป็นจุดเด่นให้พอดี ส่วนตรงกรอบภาพ อาจจะเป็นเงาดำ หรือหากอยากให้เห็นรายละเอียดในส่วนกรอบภาพด้วย อาจจะเปิดแฟลช หรือใช้โหมด HDR ซึ่งมีมาให้ในกล้อง Cyber-Shot และอัลฟ่ารุ่นใหม่ๆ ก็สามารถเปิดรายละเอียดส่วนเงาดำได้
เมื่อทำการวัดแสง ที่จุดสนใจแล้ว สิ่งต้องระวัง เรื่องจุดโฟกัส ใช้หลักการเดียวกับการวัดแสง คือโฟกัสในจุดที่เราจะเน้นนั่นเอง
หลังจากนี้ เวลาจะไปเที่ยวที่ไหน อย่าลืมสนใจสิ่งรอบข้าง แล้วหยิบมาใส่ เป็นกรอบภาพให้ภาพถ่ายของเราดูน่าสนใจ แต่อาจจะเลอะเทอะหน่อย เพราะบางสถานที่ สิ่งที่เราจะมาจัดให้เป็นกรอบในภาพ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ต้องอาศัย วิชานินจา ทั้งล้มลุก กลิ้ง ปีน แต่ก็ควรคำนึงถึงกาลเทศะ อย่าสนใจแต่เพียงให้ได้ภาพที่สวยอย่างเดียว ต้องรักษากฎ ระเบียบ และเคารพในสถานที่นั้นๆ ด้วยค่ะ
ลองนำไปใช้กันดูนะคะ
เรื่อง / ภาพ ชนาภา วรรณพักตร์
กล้องสร้างภาพ 3 มิติ
มันเป็นภาพถ่ายของช่างภาพญี่ปุ่น T.Enami ที่ถ่ายไว้ในช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ภาพถ่ายนี้ถูกถ่ายด้วยกล้องสร้างภาพ 3 มิติ (Stereoscope) ซึ่งการจะดูภาพนี้นั้นต้องดูผ่านแว่นเฉพาะเท่านั้น แต่ที่เราเห็นอยู่นั้น Okinawa Soba ได้นำมาทำใหม่ ทำให้เรามองภาพแบบปกติได้ ขอบคุณค้าบบ 






































การถ่ายภาพในที่แสงน้อยไม่ให้ภาพสั่นไหว
ผู้ ใช้กล้องดิจิตอลส่วนมากจะมีปัญหาภาพสั่นไหว โดยเฉพาะเมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อยๆ ทั้งนี้เนื่องมาจากเวลาอยู่ในที่แสงน้อย กล้องจะลดความเร็วชัตเตอร์ลงมาเพื่อให้ปริมาณแสงเพียงพอ การลดความเร็วชัตเตอร์ (เพิ่มเวลาเปิดรับแสง) ทำ ให้ภาพมีโอกาสสั่นไหวได้มากขึ้น ยิ่งแสงน้อยเท่าไร ภาพยิ่งมีโอกาสสั่นไหวมากขึ้นเท่านั้น ผู้ใช้กล้องสามารถสังเกตว่าภาพจะมีโอกาสสั่นไหวหรือไม่จากการดูค่าความเร็ว ชัตเตอร์ที่จอ LCD ของกล้อง หากความเร็วชัตเตอร์ต่ำกว่า 1/60 วินาที โอกาสสั่นไหวของภาพจะสูง และยิ่งซูมภาพมากเท่าไร โอกาสภาพจะสั่นไหวยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ปกติความเร็วชัตเตอร์ที่สามารถทำให้มือถือกล้องนิ่งได้จะอยู่ที่ 1/ทางยาวโฟกัสของเลนส์เทียบกับกล้องขนาด 35 มม. เช่น ถ้าใช้กล้องคอมแพคดิจิตอลที่ขนาดเลนส์ 5.6 mm. เทียบเป็นกล้อง 35 ได้ทางยาวโฟกัส 50 มม. ก็ควรใช้ความเร็วชัตเตอร์ประมาณ 1/50 วินาทีขึ้นไป เป็นต้น
แต่ในสภาพแสงน้อยๆ โอกาสที่จะได้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงอย่างที่ต้องการเป็นไปได้น้อยมากๆ ดังนั้นภาพจึงมีโอกาสสั่นไหวสูงเป็นพิเศษ ทางแก้ปัญหาจะมีอยู่ 2 แนวทางคือ
1. เพิ่มความไวแสงของกล้องให้สูงขึ้น เพื่อให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงขึ้น ข้อดีคือ สามารถใช้มือถือกล้องถ่ายภาพได้ตามปกติ ใช้ ความเร็วชัตเตอร์สูงจับการคลื่อนไหวของวัตถุได้ เหมาะกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวในที่แสงน้อยๆ ข้อเสียคือ ภาพจะมีสัญญาณรบกวนสูงขึ้น ยิ่งเพิ่มความไวแสงยิ่งมีสัญญาณรบกวน ภาพจะขาดความคมชัด รายละเอียดหายไปบ้าง สีสันผิดเพี้ยนไม่อิ่มตัวนัก คุณภาพโดยรวมลดลง
2. ใช้ ขาตั้งกล้อง ทำให้ใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำได้โดยกล้องไม่สั่นไหว ข้อดีคือได้ภาพคมชัด สีสัน รายละเอียด และคุณภาพโดยรวมไม่ตกลงเหมือนการเพิ่มความไวแสง แต่ข้อเสียคือ ต้องพกขาตั้งกล้อง ซึ่งอาจจะเกะกะและสร้างความลำบากในการเดินทางอยู่บ้าง และไม่เหมาะกับการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวให้หยุดนิ่ง
ทำความเข้าใจกับการวัดแสง | |
จะยังประโยชน์ส่วนใดขึ้นมาได้กับภาพถ่ายที่จัดองค์ประกอบได้สุดยอด จังหวะการ ลั่นชัตเตอร์สุดเยี่ยมแต่ทั้งภาพสว่างขาวโพลนหรือไม่ก็มืดมัวคล้ำไป สีสันและรายละ เอียดถูกทำลายลงอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในเรื่องของการวัดแสงก่อนที่จะลั่น ชัตเตอร์! ![]() ความสำคัญต่อสิ่งที่เรากำลังจะลงมือทำเป็นอย่างมาก พ่อครัวจำเป็นต้องรู้ปริมาณของ เครื่องปรุงเพื่อให้มันมีปริมาณที่พอดีสำหรับอาหารจานเด็ด สูตรน้ำยาเคมีต้องมี ปริมาณของสารประกอบชนิดที่คลาดเคลื่อนไม่ได้ ช่างก่อสร้างต้องรู้ปริมาณของปูนและ ทรายเพื่อผสมมันให้เกิดความแกร่งแข็งแรง ฯลฯ "กล้องถ่ายภาพ" ก็จำเป็นต้องรู้ปริมาณของ "แสง" ก่อนที่จะเก็บกลืนมันเอาไว้ใน เซนเซอร์รับภาพในระดับที่เหมาะสม มากน้อยอย่างไรก็สุดแต่ใจของคนที่อยู่ข้างหลัง มันนั่นเองมนุษย์หลังเซนเซอร์จำนวนมากลั่นชัตเตอร์ออกไปโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังเก็บแสง เข้ามาในปริมาณเท่าใด เพราะไม่เคยรู้และเข้าใจเลยว่ากล้องถ่ายภาพมีการวัดปริมาณแสง โดยรายงานให้รู้ทุกครั้งก่อนจะกดชัตเตอร์ หากดวงดีก็อาจจะได้ภาพที่ดูดี แต่ส่วนใหญ่ แล้วมักจะงงงันกันเป็นแถวๆ ว่าทำไมภาพถ่ายของเราถึงได้มืดบ้าง สว่างบ้าง ไม่เห็นตรง ตามที่ใจต้องการ บ้างก็โทษกล้อง บ้างก็โทษดวง บ้างก็โทษตัวเอง โดยที่ลืมไปว่าปัญหา เหล่านั้นจะคลายตัวลงไปได้เพียงแค่ทำความเข้าใจกับ "ระบบการวัดแสง" ที่มีอยู่ในกล้อง ถ่ายภาพทุกตัวว่ามันทำงานอย่างไร? และเราควรทำตัวอย่างไร? ...ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้ว ปัญหาที่ว่านั้นก็จะคลายตัวออกไปในทุกขณะที่ประสบการณ์ ถูกเติมแต้มเข้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งก็เข้าขั้น "สั่งได้" ในแบบที่มืออาชีพเขาเป็นกัน... ก่อนจะอ่านเรื่องราวต่อไป ขอให้ทำความเข้าใจเอาไว้ก่อนว่า "ปริมาณค่าแสง" และ "ค่าการเปิดรับแสง" นั้นเป็นคนละตัวกัน ตัวแรกคือปัจจัยภายนอกกล้อง และตัวหลังคือปัจจัยภายในกล้อง • ทำไมต้องวัดแสง? เพราะการถ่ายภาพนั้นแท้ที่จริงแล้วคือการบันทึกแสง ซึ่งต้องมีการคิดคำ นวณว่าจะยอมให้แสงผ่านเข้าสู่กล้องได้มากหรือน้อยขนาดไหน จึงจะเป็นปริมาณที่ เรียกได้ว่าพอดีสำหรับการบันทึกภาพ ซึ่งกล้องถ่ายภาพจำเป็นต้องตรวจสอบปริ มาณแสงที่อยู่ตรงหน้านั้นเสียก่อนว่า มีปริมาณแสงอยู่ในระดับใด? จากนั้นจึงจะ กำหนดระดับการเปิดรับแสงเข้าสู่กล้องได้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหากไม่มีการวัดปริมาณ แสงเสียก่อนก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าควรจะยอมให้ แสงผ่านเข้าไปมากหรือน้อยอย่าง ไรจึงจะถูกต้องหาก ปรับระดับการเปิดรับแสงไม่เหมาะสม สิ่งที่จะตามมาก็คือ เมื่อเปิด รับแสงเข้ามากเกินไปภาพก็จะสว่างขาวโพลนกว่าที่ควรจะเป็น หากเปิดรับแสงน้อย เกินไปภาพก็จะมืดกว่าที่ควรจะได้ หรือที่เราเรียกว่า ภาพโอเวอร์-อันเดอร์นั่นเอง เปรียบ เทียบไปแล้วก็เหมือนกับการผันน้ำเข้าที่นา เราจำเป็นต้องรู้ว่าปริมาณน้ำในแม่ น้ำมีมากหรือน้อยอย่างไร? ควรจะเปิดประตูกั้นน้ำในระดับไหน เปิดเป็นเวลาเท่าไหร่ น้ำจึงจะไหลเข้าสู่ที่นาได้ในปริมาณที่เหมาะสม หากเปิดให้น้ำเข้ามาได้มากเกินไปก็จะท่วมนาข้าวทำให้เสียหาย แต่ถ้าเปิดให้เข้า ได้น้อยเกินไปน้ำก็จะไม่พอใช้ น้ำก็คือแสง ประตูน้ำก็คือค่าการเปิดรับแสง นาข้าว ก็คือภาพถ่าย น้ำท่วมนาข้าวก็หมายถึงภาพโอเวอร์ น้ำแห้งก็คือภาพอันเดอร์ ...การ ที่เราต้องรู้ปริมาณน้ำในแม่น้ำก็คือการวัดแสง กสิกรที่ไม่รู้จักการคำนวณปริ มาณน้ำภายนอกก็จะเปิดประตูน้ำอย่างสะเปะสะปะ ผลก็คือนาข้าวเกิดความเสีย หายทั้งขาดน้ำและน้ำท่วม เช่นเดียวกับคนถ่ายภาพที่ไม่รู้เรื่องการวัดแสง ก็จะถ่ายภาพอย่างสะเปะสะปะ ภาพถ่ายก็เกิดความเสียหายได้ทั้งจากแสง ที่มากเกินไปและน้อยเกินไปนั่นเอง |
วิธีทำภาพให้แจ่มเพื่อโพสในเว็บไซต์ | |
แทบ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพถ่ายดี ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ถูกเตะสกัดหนทางสู่ความรุ่งโรจน์ไปในช่วงขั้นตอนก่อนการโพสภาพ หรือขั้นตอนการตกแต่งภาพนั่นเอง และก็มีไม่น้อยเช่นกันที่ตกแต่งภาพเข้าขั้นเซียน แต่ตกมาดังพลั่ก? เอาในขั้นตอนสุดท้ายด้วยเรื่องเล็ก ๆ ไม่กี่เรื่อง และ ก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าภาพที่มีปัญหาหลาย ๆ ภาพกลับฉายแววรุ่งโรจน์อยู่ในเว็บ บางทีอาจจะเป็นเพราะเขารู้อะไรบางอย่างที่เรายังไม่รู้ก็เป็นได้ แล้วอะไรบ้างล่ะ? ![]() ![]() JPEG คือไฟล์ภาพที่คุณต้องยุ่งเกี่ยวอยู่เสมอ มันเป็นการบันทึกข้อมูลแบบ “บีบอัด” ที่ยอมสูญเสียคุณภาพของภาพ นั่นแปลว่าทุกครั้งที่คุณ Save ภาพไปเรื่อย ๆ คุณภาพก็จะหดหายไปเรื่อย ๆ ด้วย วิธีการก็คือ เมื่อคุณได้ไฟล์ Jpeg มาแล้ว ก็ให้ Save as เป็นนามสกุลอื่น ๆ เช่น BMP, TIFF, PNG, PSD ฯลฯ ที่ไม่มีการบีบอัด (หรือมีก็น้อยมาก) และให้ตกแต่งที่ไฟล์นี้ จากนั้นค่อย Save as เป็น JPEG เพื่อเอาไปโพสอีกที จำไว้ว่า Save as แบบ JPEG ให้น้อยครั้งที่สุด ................................................................................................................................................................................ ![]() เรา เจอทั้ง 3 ขั้นตอนนี้อยู่บ่อย ๆ ในการปรับและแก้ไขภาพ และทุกครั้งที่เราทำการปรับขนาด, หมุนภาพ และครอบภาพ ตัวโปรแกรมจะทำขั้นตอนที่เรียกว่า Interpolate เพื่อปรับขนาดจุด (Pixel) ของภาพ ซึ่งจะทำให้ภาพเกิดการสูญเสียความคมชัดบางส่วนไป ทาง ที่ดีที่สุดคือวางแผนล่วงหน้าและทำอย่างไรก็ได้ให้ในแต่ละภาพของคุณผ่านขั้น ตอนนี้เพียงครั้งเดียว วิธีที่เข้าท่าคือสร้างไฟล์ใหม่ในขนาดที่ต้องการแล้ววางภาพนี้ลงไป ปรับขนาดมันให้ลงได้ภายในครั้งเดียว ไม่ปรับไปปรับมาอีก ................................................................................................................................................................................ ![]() ใน หัวข้อที่ผ่านมา เรามีบอกเอาไว้ว่าให้สร้างไฟล์ใหม่ขึ้นมาเลยในขนาดที่ต้องการ ทีนี้ถ้าจะต้องมา File > New แล้วกรอกตัวเลขค่าต่าง ๆ กันทุกครั้งก็เกรงว่าจะไม่โปร หาก เราต้องใช้ขนาดหนึ่งเป็นประจำก็สร้างเอาไว้เป็นของเราเองซะเลยก็แล้วกัน เมื่อเลือก File > New และใส่ค่าตั้งทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็คลิ๊กที่ปุ่ม Save Preset มีหน้าต่างใหม่ขึ้นมาให้ตั้งชื่อ ก็ตั้งกันไปตามสะดวก คราวหน้าก็เรียกใช้ค่าตั้งชื่อเอาไว้จะไปปรากฏอยู่ในเมนูนั้นเสร็จสรรพ อาจ จะไม่ช่วยให้ภาพดูดีขึ้น แต่ทำให้เร็วขึ้นแน่ ๆ ................................................................................................................................................................................ ![]() ฟัน ธงกันเลยว่า ถ้าหากจะโพสภาพในเว็บแล้ว ต้องใช้ sRGB เพราะระบบการแสดงสีของเจ้า Browser นั้นอ้างอิงกับ sRGB และคุณควรใช้โหมดนี้มาตั้งแต่แรก เพราะหากคุณใช้ AdobeRGB ทำมาพอแปลงเป็น sRGB ทีหลัง สีในภาพก็จะเปลี่ยนไปอีกก็ต้องมาปรับแก้กันใหม่อีกรอบ ถึงใช้ AdobeRGB สีสวยงดงาม แต่พอขึ้นเว็บจริง ๆ อาจจะดูไม่ได้เลยก็เป็นได้ ................................................................................................................................................................................ ![]() มัน คือการดูภาพในขณะปรับแต่งที่หน้าจอด้วยขนาดจริง ๆ เมื่อมันจะขึ้นไปโชว์บนเว็บ การตกแต่งภาพของเราอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองแบบ คือแต่งก่อนปรับขนาด หรือปรับขนาดก่อนแล้วค่อยแต่ง แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าควรดูด้วยขนาดเท่าจริง ไม่หลอกตัวเองด้วยการดูที่ขนาดเล็กหรือใหญ่กว่า ในขณะที่ทำการตกแต่งก็จะ ช่วยให้เราปรับตั้งค่าต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องตามจริง เพราะหากดูด้วยขนาดอื่น อาจจะปรับค่าต่าง ๆ ผิดก็เป็นได้ สำหรับใน Photoshop ให้ดับเบิ้ลคลิ๊กที่เครื่องมือแว่นขยายที่แถบชื่องานของเราก็จะบอกขนาดที่ กำลังโชว์อยู่นี้เป็นเปอร์เซ็นด้วย ................................................................................................................................................................................ ![]() ก็ อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่าเมื่อย่อ-ขยาย, หมุน, ครอบก็จะทำให้ความคมชัดลดลง เราสามารถชดเชยกลับมาได้ด้วยการใช้คำสั่ง Sharpen เพื่อให้ภาพของเราคมชัดยิ่งขึ้น มือใหม่หลายคนไม่รู้เรื่องนี้ ภาพที่เอามาโชว์ก็เลยขนาดความคมชัดไปอย่างน่าเสียดาย อย่า ลืมว่าต้องดูภาพที่ 100% จึงจะเหมาะสมที่สุดและก็ต้องไม่ตั้งค่า Sharpen ให้สูงเกินไป เพราะแทนที่จะได้ภาพคมกำลังดี กลายเป็นภาพคมเกินจนดูไม่สบายตา และต้องจำไว้อย่างหนึ่งด้วยว่า ยิ่งคมมาก Noise หรือจุดรบกวนก็ยิ่งเห็นชัดมาก ดังนั้นอย่าลืมแก้เรื่อง Noise เสียก่อน ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้ว ค่อย Sharpen เป็นขั้นตอนสุดท้าย ................................................................................................................................................................................ ![]() นี่ เป็นเคล็ดลับสำคัญอย่างหนึ่งของมืออาชีพ การทำกรอบภาพส่งผลอย่างมากต่อภาพถ่าย บางภาพก็ไม่มีกรอบสวยที่สุด แต่บางภาพได้กรอบเพิ่มเข้ามาช่วยก็ทำให้ดูดีขึ้นมาได้ ดังนั้นบางทีการยอมลดขนาดของภาพเพื่อให้เป็นกรอบก็อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ คุ้มค่า กรอบ ภาพที่ดีต้องดูดีและสะอาดสะอ้าน ไม่แย่งความสนใจไปจากตัวภาพ กรอบภาพที่เป็นสีขาวหรือดำจะดีที่สุด (แต่ก็ไม่เสมอไป) อีกสิ่งที่มักจะอยู่ในกรอบก็เช่น ชื่องาน, สถานที่หรือสัญลักษณ์ของเรา ซึ่งตำแหน่งการวางและลักษณะของมันก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ควรดูให้ดี ................................................................................................................................................................................ ![]() แทบ จะทุกเว็บโพสภาพในปัจจุบันต้องมีการจำกัดขนาดความจุพื้นที่ (File size) เอาไว้เพื่อสงวนเนื้อที่บันทึกข้อมูล ซึ่งดูแล้วก็อาจจะขัดใจด้วยว่าให้พื้นที่มาน้อยเหลือเกิน ยังมีชาวเว็บอีกมากมายที่ยังใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วต่ำอยู่ ไฟล์ใหญ่โหลดนาน อาจจะทำให้เขาลาจากไปก่อนที่จะได้เห็นภาพของเราด้วยซ้ำ เรา อาจจะกะขนาดไม่ถูกว่าควร Save ไฟล์ที่เท่าไหร่จึงจะพอดี ก็ให้ Save for web ช่วยได้ โดยการคลิ๊กที่มุมขวาบน แล้วเลือกมาที่ Optimize to file size แล้วใส่ขนาดเป็น KB ลงไป ดูอีกทีก่อน Save ว่าผลที่ได้ออกมายอมรับได้หรือไม่? ถ้ายังไม่ได้ ก็ต้องไปลดขนาด กว้าง x ยาวของภาพให้เล็กลง. |
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554
ภาพถ่ายคมชัด
ภาพถ่ายคมชัดด้วย Smart Sharpen | |
เราจะทำให้ภาพถ่ายคมชัดสำหรับเว็บไซต์ได้อย่างไร ![]() ทุก วันนี้คนโพสภาพในอินเตอร์เนตขาดความเข้าใจไปเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้ภาพถ่ายที่ สวยงามกลับกลายเป็นภาพธรรมดาๆ และอาจจะดูไม่น่าสนใจ ทั้งๆ ที่ในขณะถ่ายภาพนั้นใช้ฝีมือถี่ถ้วนและใช้อุปกรณ์อันเป็นเลิศ แต่ในขั้นตอนท้ายที่สุดก่อนจะนำภาพขึ้นไปใช้บนอินเตอร์เนตนั้นกลับพลาดไป อย่างน่าเสียดาย... ...ขั้นตอนที่ว่านั้นก็คือ "ทำภาพให้คมชัด" ด้วยเครื่องมือในการโปรเซสภาพถ่ายนั่นเอง ต้อง ทำความเข้าใจก่อนว่า เมื่อเรานำภาพมาใช้งานในอินเตอร์เนตไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั่นคือการแสดงภาพด้วย "จอภาพ" ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 72dpi (dot per inch) ซึ่งจะต่างจากการนำไปใช้บนสื่ออื่นๆ ที่อาจจะมีความละเอียดสูงกว่านี้ ใน การย่อหรือขยายขนาดภาพถ่ายแต่ละครั้ง (ที่เรียกว่า "Interpolation") นั้น ภาพจะสูญเสียความคมชัดหรือรายละเอียดของจุดสีในภาพบางส่วนไป ซึ่งผลโดยตรงของเรื่องนี้ก็คือจะทำให้ความคมชัดในภาพถูกลดลงทันที ดังนั้นหมายความว่าเราจะเพียงแค่ย่อภาพให้ได้ขนาดตามต้องการเฉยๆ นั้นย่อมไม่ดีต่อภาพที่จะนำไปใช้งานแน่ๆ เมื่อย่อขนาดของภาพให้เล็กลงเพื่อจะนำไปใช้ในอินเตอร์เนต (หรือใช้แสดงผลบนจอภาพ) เราจึงต้องปิดท้ายด้วยเครื่องมือ "Sharpen" ซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานในโปรแกรมตกแต่งภาพทั่วไป ในที่นี้จะใช้เครื่องมือ "Smart Sharpen" ของ Adobe Photoshop สำหรับการเพิ่มความคมชัดให้กับภาพในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่ได้ขนาดของภาพตามต้องการแล้ว วิธีการมีดังนี้... ไปที่คำสั่ง Filter > Sharpen > Smart Sharpen… ![]() เมื่อปรากฏหน้าต่างของ Smart Sharpen ขึ้นมาแล้ว ให้เราเลือกที่โหมดแบบ "Basic" ![]() ปรับค่า Amount ไปที่ 100% ปรับค่า Radius ไปที่ 0.3 - 0.6 px ใน ส่วนของค่า Radius นี้ขอให้พิจารณาลักษณะของภาพถ่าย (หลังจากย่อขนาดแล้ว) ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร หากภาพมีรายละเอียดเล็กๆ อยู่มาก (เช่นต้นหญ้า, เม็ดทราย, เนื้อหิน ฯลฯ) ก็ไม่ควรใช้ถึง 0.6 px เพราะอาจจะทำให้รายละเอียดเหล่านั้นดูหยาบมากเกินไป ![]() ถึงแม้ ว่าภาพที่ 3 จะดูชัดเจนดี แต่มันก็ถูกใส่ค่า Radius มากเกินจำเป็นจนขึ้นขอบขาวๆ (Halo) บริเวณขอบของวัตถุ ในขณะที่ภาพที่ 1 ก็ใช้ค่า Radius น้อยเกินไปจนภาพดูยังไม่คมหรือเหมือนหลุดโฟกัส ส่วนภาพที่ 2 นั้นค่า Radius กำลังดี อาจจะนำไปตกแต่งเพิ่มความคมชัดเฉพาะส่วนที่เป็นเส้นได้อีกหน่อย พูดง่ายๆ ก็คือ ดูภาพของเราว่าระหว่าง 0.3 กับ 0.6 อันไหนดูดีกว่ากัน? • อย่าใช้ค่าความคมชัดมากเกินจำเป็น เพราะแทนที่มันจะดูดีก็กลับกลายเป็นดูน่ารำคาญสายตาไปเลย ![]() ใส่ค่าความ คมชัดมากเกินไป แทนที่ภาพจะดูดีก็กลายเป็นเสียหายไปเลย ที่น่าสังเกตก็คือลักษณะของสิ่งที่อยู่ในภาพนี้มีรายละเอียดมาก ยิ่งใส่ค่าความคมชัดมากภาพก็ยิ่งดูไม่รู้เรื่องมากไปด้วย • ขั้นตอน Sharpen ควรเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพราะหากมีการย่อ, ขยาย, หมุน หรือทำการเปลี่ยนแปลงใดๆ หลังจาก Sharpen ก็หมายถึงความคมชัดจะเสียไปอีก ควรปรับขนาดและหมุนภาพให้เสร็จเรียบร้อยลงตัวเสียก่อน • กำหนดขนาดของภาพตามที่จะใช้จริงและควรตรวจสอบขนาดที่เว็บไซต์จำกัดเอาไว้ ด้วย เพราะถ้าภาพมีขนาดใหญ่เกินกำหนด เว็บไซต์เหล่านั้นก็อาจจะต้องใส่กระบวนการย่อขนาดให้กับภาพเสียก่อน ซึ่งความคมชัดก็จะหายไปอยู่ดี ที่แย่ก็คือภาพขึ้นไปแล้ว แก้ไขอะไรก็ไม่ได้นอกจากจะโพสใหม่สถานเดียว • ในขั้นตอนการ Sharpen ควรดูภาพที่ขนาด 100% เพราะหากเป็นการ preview ด้วยขนาดอื่นๆ จะไม่เห็นความคมชัดของภาพที่แท้จริง ซึ่งเราจะ Preview ที่ขนาด 100% ได้โดยการ double click ที่เครื่องมือแว่นขยายของ Photoshop ...เพียงเท่านี้ภาพถ่ายของเราก็คมชัดดูดีและพร้อมสำหรับการนำไปใช้ในเน็ตแล้ว! |
Group Photography
We come into this world, we grow, we make friends, we look for opportunities and ultimately, we have to part with our friends and family members. Each one of us has been through this or will cross this path in our life eventually. We wish to live those beautiful and unforgettable moments again by turning back time which is obviously still a fiction. This is why we rely on photographs.

We are featuring group photographs today and group photographs are the perfect testimonials of age and experience. You will want to tell yourself you have live the best moments in life in the future therefore do not commit a corny group photographs. Instead of looking fun and young, it might look bored as dough. Therefore we are here to share some awesome group photographs that can give you inspiration on how to make a memorable group photo!

Image credit.

Image credit.
Bonus: Did I just say that "Lights are everything"? Well, I also said "Break the rules". Have a look at the following photograph :D. Ultimately again, it’s your creativity with lights and shadows


Image credit.

(via smashpoppler)

(via macmoov)

(via vstrash)

(via kellyhofer)

(via chelseaelizabethphotography)

(via talikf)

(via d1production)

(via gloriazelaya)

(via picture_bunny)

(via churchillcarling)

(via laura_sobenes)

(via Donna & Antti)

We are featuring group photographs today and group photographs are the perfect testimonials of age and experience. You will want to tell yourself you have live the best moments in life in the future therefore do not commit a corny group photographs. Instead of looking fun and young, it might look bored as dough. Therefore we are here to share some awesome group photographs that can give you inspiration on how to make a memorable group photo!
5 tips to better Group Photography
1. Routine to Break
Most of the group photograph I see down the line looks somewhat the same. They are all lack creativity because most photographers tend to follow a basic rule of just setting a group of people, standing stick still in front of the camera, count to 3, and press the shutter. The trick for capturing amazing group photographs is to break these photography rules. We all have a mind that has infinite creativity. Utilize it, be sure to throw yourself out of the comfort zone and be spontaneous. The outcome may surprise you.
Image credit.
2. It’s all about timing
A good timing is absolutely necessary for a good photograph. By saying good timing, I am not only emphasizing on suitable time of the day to take photographs, but also the correct timing to press the shutter release button. Having a good grasp on a correct timing to shoot a picture will reduce your efforts of taking multiple shots for the same thing in the chase of that "perfect shot".3. Lights, lights, lights
Lights are everything, period. Light is actually the ultimate factor in photography. Any good or awesome pictures are determined by skillful lighting control. And that’s exactly what a photographer might lack of. Here are some tips on how to use lights effectively:- Make sure everything is brightly lit and there is no shadow overlay on any of the faces.
- If possible, use strobe lights. They always give better results
- Ever thought of reflection while considering lights?

Image credit.
Bonus: Did I just say that "Lights are everything"? Well, I also said "Break the rules". Have a look at the following photograph :D. Ultimately again, it’s your creativity with lights and shadows
4. Background Matters
In photography, background is as important as the subject itself. A photograph taken with the same subject in a field could sometimes result better than taking it in a closed room. Although it is subjective, changing backgrounds often results in better photographs. Take your family or group outside. Try photographing in a field or any open space where you can also use the larger surface area rather than just shooting in a room or a studio. Plus you will also have the benefit of natural lights :-)
5. Don’t stick to the ground
Perspective is what gives a photograph an edge over thousands of others. Want to take an edgy group photograph? Just don’t stick to the ground. By that I don’t mean that you should try out to anti-gravity, but just change your perspective. Take a group photograph from the second floor of a building while making your buddies stand on the ground. Alternatively, go down on your knees and shoot straight up! Use your imagination and just stay away from the ground.
Image credit.
Beautiful Examples of Group Photos
Last but not lease, we’ll end the article with a showcase of some creative and beautiful group photos. Enjoy!
(via smashpoppler)

(via macmoov)

(via vstrash)

(via kellyhofer)

(via chelseaelizabethphotography)

(via talikf)

(via d1production)

(via gloriazelaya)

(via picture_bunny)

(via churchillcarling)

(via laura_sobenes)

(via Donna & Antti)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)