วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำความเข้าใจกับการวัดแสง

จะยังประโยชน์ส่วนใดขึ้นมาได้กับภาพถ่ายที่จัดองค์ประกอบได้สุดยอด จังหวะการ
ลั่นชัตเตอร์สุดเยี่ยมแต่ทั้งภาพสว่างขาวโพลนหรือไม่ก็มืดมัวคล้ำไป สีสันและรายละ
เอียดถูกทำลายลงอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจในเรื่องของการวัดแสงก่อนที่จะลั่น
ชัตเตอร์!

         เมื่อเรามีการวัดปริมาณของอะไรสักอย่างหนึ่ง นั่นแปลว่าจำนวนของมันย่อมต้องมี
ความสำคัญต่อสิ่งที่เรากำลังจะลงมือทำเป็นอย่างมาก พ่อครัวจำเป็นต้องรู้ปริมาณของ
เครื่องปรุงเพื่อให้มันมีปริมาณที่พอดีสำหรับอาหารจานเด็ด สูตรน้ำยาเคมีต้องมี
ปริมาณของสารประกอบชนิดที่คลาดเคลื่อนไม่ได้ ช่างก่อสร้างต้องรู้ปริมาณของปูนและ
ทรายเพื่อผสมมันให้เกิดความแกร่งแข็งแรง ฯลฯ
        "กล้องถ่ายภาพ" ก็จำเป็นต้องรู้ปริมาณของ "แสง" ก่อนที่จะเก็บกลืนมันเอาไว้ใน
เซนเซอร์รับภาพในระดับที่เหมาะสม มากน้อยอย่างไรก็สุดแต่ใจของคนที่อยู่ข้างหลัง
มันนั่นเองมนุษย์หลังเซนเซอร์จำนวนมากลั่นชัตเตอร์ออกไปโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังเก็บแสง
เข้ามาในปริมาณเท่าใด เพราะไม่เคยรู้และเข้าใจเลยว่ากล้องถ่ายภาพมีการวัดปริมาณแสง
โดยรายงานให้รู้ทุกครั้งก่อนจะกดชัตเตอร์ หากดวงดีก็อาจจะได้ภาพที่ดูดี แต่ส่วนใหญ่
แล้วมักจะงงงันกันเป็นแถวๆ ว่าทำไมภาพถ่ายของเราถึงได้มืดบ้าง สว่างบ้าง ไม่เห็นตรง
ตามที่ใจต้องการ บ้างก็โทษกล้อง บ้างก็โทษดวง บ้างก็โทษตัวเอง โดยที่ลืมไปว่าปัญหา
เหล่านั้นจะคลายตัวลงไปได้เพียงแค่ทำความเข้าใจกับ "ระบบการวัดแสง" ที่มีอยู่ในกล้อง
ถ่ายภาพทุกตัวว่ามันทำงานอย่างไร? และเราควรทำตัวอย่างไร?
        ...ซึ่งเมื่อเข้าใจแล้ว ปัญหาที่ว่านั้นก็จะคลายตัวออกไปในทุกขณะที่ประสบการณ์
ถูกเติมแต้มเข้าไปเรื่อยๆจนกระทั่งวันหนึ่งก็เข้าขั้น "สั่งได้" ในแบบที่มืออาชีพเขาเป็นกัน...
ก่อนจะอ่านเรื่องราวต่อไป ขอให้ทำความเข้าใจเอาไว้ก่อนว่า "ปริมาณค่าแสง"
และ "ค่าการเปิดรับแสง" นั้นเป็นคนละตัวกัน ตัวแรกคือปัจจัยภายนอกกล้อง
และตัวหลังคือปัจจัยภายในกล้อง

• ทำไมต้องวัดแสง?
         เพราะการถ่ายภาพนั้นแท้ที่จริงแล้วคือการบันทึกแสง ซึ่งต้องมีการคิดคำ
นวณว่าจะยอมให้แสงผ่านเข้าสู่กล้องได้มากหรือน้อยขนาดไหน จึงจะเป็นปริมาณที่
เรียกได้ว่าพอดีสำหรับการบันทึกภาพ ซึ่งกล้องถ่ายภาพจำเป็นต้องตรวจสอบปริ
มาณแสงที่อยู่ตรงหน้านั้นเสียก่อนว่า มีปริมาณแสงอยู่ในระดับใด? จากนั้นจึงจะ
กำหนดระดับการเปิดรับแสงเข้าสู่กล้องได้ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งหากไม่มีการวัดปริมาณ
แสงเสียก่อนก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าควรจะยอมให้ แสงผ่านเข้าไปมากหรือน้อยอย่าง
ไรจึงจะถูกต้องหาก ปรับระดับการเปิดรับแสงไม่เหมาะสม สิ่งที่จะตามมาก็คือ เมื่อเปิด
รับแสงเข้ามากเกินไปภาพก็จะสว่างขาวโพลนกว่าที่ควรจะเป็น หากเปิดรับแสงน้อย
เกินไปภาพก็จะมืดกว่าที่ควรจะได้ หรือที่เราเรียกว่า ภาพโอเวอร์-อันเดอร์นั่นเอง
เปรียบ เทียบไปแล้วก็เหมือนกับการผันน้ำเข้าที่นา เราจำเป็นต้องรู้ว่าปริมาณน้ำในแม่
น้ำมีมากหรือน้อยอย่างไร? ควรจะเปิดประตูกั้นน้ำในระดับไหน เปิดเป็นเวลาเท่าไหร่
น้ำจึงจะไหลเข้าสู่ที่นาได้ในปริมาณที่เหมาะสม 
หากเปิดให้น้ำเข้ามาได้มากเกินไปก็จะท่วมนาข้าวทำให้เสียหาย แต่ถ้าเปิดให้เข้า
ได้น้อยเกินไปน้ำก็จะไม่พอใช้ น้ำก็คือแสง ประตูน้ำก็คือค่าการเปิดรับแสง นาข้าว
ก็คือภาพถ่าย น้ำท่วมนาข้าวก็หมายถึงภาพโอเวอร์ น้ำแห้งก็คือภาพอันเดอร์ 
...การ ที่เราต้องรู้ปริมาณน้ำในแม่น้ำก็คือการวัดแสง กสิกรที่ไม่รู้จักการคำนวณปริ
มาณน้ำภายนอกก็จะเปิดประตูน้ำอย่างสะเปะสะปะ ผลก็คือนาข้าวเกิดความเสีย
หายทั้งขาดน้ำและน้ำท่วม เช่นเดียวกับคนถ่ายภาพที่ไม่รู้เรื่องการวัดแสง
ก็จะถ่ายภาพอย่างสะเปะสะปะ ภาพถ่ายก็เกิดความเสียหายได้ทั้งจากแสง
ที่มากเกินไปและน้อยเกินไปนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น